พิธีจุดโคมมาฆประทีป
ในวันมาฆบูชา ณ วัดพระธรรมกาย ประเทศไทย
ทุกๆปี ในวันมาฆบูชา ซึ่งตรงกับวันเพ็ญ 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ทางวัดพระธรรมกายมีการจัดกิจกรรมจุดประทีปขึ้นเป็นประจำ โดยมีสาธุชนนับแสนจากประเทศต่างๆ หลากหลายเชื้อชาติและศาสนา ทั่วโลก เดินทางมาร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ด้วยการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิร่วมกัน ณ เบื้องหน้าองค์พระมหาธรรมกายเจดีย์ เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ พร้อมทั้ง แผ่เมตตา ความรักอันยิ่งใหญ่ไปยังบุคคลที่เรารัก ญาติสนิท มิตรสหาย และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ประทีปทุกดวงของเรา เสมือนแสงแห่งสันติภาพ
ในวันมาฆบูชา
ณ เวลาเดียวกัน ผู้มีบุญหลากหลายเชื้อชาติ ที่อยู่ในจุดต่างๆทั่วโลก ทุกคนหลับตารวมใจอยู่ที่กลางกายทำสมาธิพร้อมๆกัน กลั่นความปรารถนาดี ที่จะให้บุคคลที่เป็นที่รักและสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้พ้นจากความทุกข์ พบแต่ความสุข พลังแห่งความบริสุทธิ์ ณ ศูนย์กลางกายของเราทุกคน แผ่ขยายความรัก ความเมตตาออกไปทุกทิศทุกทาง และ พลังแห่งความรักความปรารถนาดีจากใจที่เป็นสมาธิแน่วแน่ของพวกเราทุกคนนี้ ร่วมกันอธิษฐานกลั่นให้โลกใบนี้ของเราให้เป็นโลกแก้วบริสุทธิ์
ณ เวลาเดียวกัน ทุกท่านจุดดวงประทีปของตนเองพร้อมกัน แสงแห่งสันติภาพจากประทีปนับแสน นับล้านดวง ของทุกคนที่อยู่ทุกพื้นที่ ทุกสถานส่องสว่างพร้อมกัน เปรียบเสมือนแสงแห่งสันติภาพส่องสว่างไปทั่วทั้งโลก
ความเป็นมาของวันมาฆบูชา
ทุกๆคนในโลกไม่ว่าจะมีเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม ล้วนปรารถนาอยากที่จะพ้นจากความทุกข์และประสบกับความสุข เมื่อ2600 กว่าปีก่อน หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ปฏิบัติสมาธิ และตรัสรู้ธรรมใต้ต้นอัสสตพฤกแล้ว ท่านได้รู้ถึงสัจธรรมอันสูงสุดแห่งชีวิต และได้เข้าถึงความสุขภายในอย่างไม่มีประมาณ เป็นความสุขที่ไม่มีการย้อนกลับมาทุกข์อีก
หลังจากที่ตรัสรู้ธรรมได้ไม่นาน ในวันนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประทานโอวาทแก่พระอรหันต์ 1250 รูปที่พระองค์บวชให้เอง ท่านปรารถนาที่จะแบ่งปันวิธีการเข้าถึงความสุขไปสู่ใจชาวโลก ซึ่งเนื้อหาโอวาทนั้นมีชื่อว่า โอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับอุดมการ หลักการและวิธีการในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและการทำหน้าที่กัลยาณมิตรแนะนำความสุขให้แก่ชาวโลก ซึ่งมีเนื้อหาหลักๆแบ่งเป็น 3 หมวดดังนี้
หมวดที่ 1 อุดมการณ์
1.ต้องมี “ความอดทน” ในการทำงานต่างๆ เพราะงานทุกงานนั้นต่างต้องประสบปัญหาต่างๆ เช่นต้องอดทนต่อดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน อดทนต่อความลำบากตรากตรำ อดทนต่อการกระทบกระทั่ง และกิเลสความอยากต่างๆ
2.ให้รู้ว่า “เป้าหมายชีวิต” ของเรา เมื่อเจออุปสรรคมาปะทะมากมาย หรือเจอคนพาลมากลั่นแกล้งบ้าง ถ้าเป้าหมายในใจไม่ชัดเจน ก็จะดำเนินไปแบบสะเปะสะปะ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จและไม่ตรงเป้าหมาย
3.“ไม่เบียดเบียนผู้อื่น” ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม อย่าใช้ความรุนแรงไปทำร้ายผู้อื่น
ก่อนจะเริ่มไปทำหน้าที่แนะนำให้ผู้อื่นเข้าถึงความสุขนั้น ก็ต้องหมั่นตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ
หมวดที่ 2 หลักการ
1.ละชั่ว การไม่ทำบาปทั้งปวง 2.ทำดี 3.ทำใจให้ผ่องใส
หมวดที่ 3 วิธีการ
สอน และฝึกฝนตนเองให้เป็นต้นแบบในการทำความดี ซึ่งมีวิธีต่างๆดังนี้
1. เวลาที่จะไปแนะนำใคร เราจะไม่ไปด่าไปว่า กระทบกระเทียบ กระแนะกระแหน หรือโจมตีใคร
2. ไม่ทำร้าย ทุบตีผู้อื่นเพื่อบีบบังคับให้คนอื่นเชื่อตามเรา
3. สำรวมในความประพฤติของตัวเอง เกิดอะไรขึ้นมา แทนที่จะไปโทษว่าคนนั้นคนนี้ไม่ดี ให้มาสำรวจตัวเองก่อน ปรับปรุงและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นทุกๆวัน
4. จะบริโภค จะใช้สอยอะไร เอาให้พอดี ๆ อย่าให้เกินขอบเขตความเหมาะสม เปรียบเสมือนไม้ใหญ่ที่กินน้ำน้อย คือ เป็นอยู่อย่างเรียบง่าย แต่สร้างประโยชน์อย่างมากให้กับสังคม
5. ใช้ชีวิตอย่างไม่เอิกเกริกเฮฮา รู้จักหาความสงัดเพื่อนั่งทบทวน พิจารณาคุณธรรมของตนเองเป็นประจำ ว่าการกระทำของตน ณ เวลานั้นๆเป็นไปตรงตามเป้าหมายชีวิตหรือไม่
6. หมั่นทำสมาธิ ทำใจให้ผ่องใส เพื่อจะได้แบ่งปันความสุข ความผ่องใสให้กับผู้คนรอบข้าง หรือสังคมโลกได้
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้โอวาทเสร็จ พระอรหันต์ทั้งหลายก็เดินทางแยกย้ายไปในทิศทางต่างๆเพื่อนำเอาหลักความรู้เพื่อเข้าถึงความสุขภายในไปแบ่งปันให้กับชาวโลกทั้งหลาย
ถ้าหากชาวโลกทุกๆ คนได้ศึกษาความรู้สากลนี้ และได้ปฏิบัติตามหลักการดังกล่าวข้างต้นนี้แล้ว โลกก็จะบังเกิดสันติสุขที่แท้จริง มวลมนุษยชาติจะปรองดองกันเหมือนเป็นประดุจครอบครัวเดียวกัน จะมีความรักและปรารถนาดีต่อกันอย่างแท้จริง
สันติสุขและสันติภาพโลก ล้วนเริ่มจากตัวเรา
ในวันมาฆบูชาของทุกๆปี พวกเราทุกๆคนจึงควรมาร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้น และร่วมกันดำเนินตามเส้นทางของผู้มีปัญญาในอดีต จากบุคคลคนเดียว คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย และส่งต่อความรู้ที่สามารถเข้าถึงความสุขภายในได้ เผยแผ่ไปสู่มหาชนจำนวนมาก คำสอนของท่านได้สืบทอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อบุคคลเหล่านั้นนำความรู้นั้นมาใช้ในชีวิตประจำวัน ชีวิตจะเกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ซึ่งวิธีการปฏิบัติอย่างง่ายๆ โดยสร้างสันติสุขขึ้นในใจของตัวเราเองทุกๆคน ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา รวมถึงให้อภัยแก่ผู้ที่ล่วงเกินต่อเราเป็นอันดับแรก แล้วพัฒนาเป็นความรักความเมตตาต่อผู้คนทุกหมู่เหล่า ความสุขจากคนๆหนึ่ง แผ่ขยายไปสู่คนจำนวนมาก เปรียบเสมือนการจุดประทีปจากดวงหนึ่งต่อๆกันไปจนเกิดความสว่างไสวไปทั่วทุกแห่งในโลก
สันติภาพโลกอยู่ในมือของคุณ
คำว่าสันติภาพโลกนั้น เรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ใช่ว่าจะให้ใครคนใดคนหนึ่ง หรือ องค์กรใดองค์กรหนึ่งมาช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ก็มีการจัดตั้งองค์กรมากมายผลักดันงาน เพื่อให้โลกเกิดสันติภาพ แต่ถึงปัจจุบันนี้แล้ว สันติภาพก็ยังไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงเสียที ถ้ามาพิจารณาถึงโอวาทดังกล่าวข้างต้นนี้ คำว่า สันติภาพโลกนี้ กลับเกิดขึ้นอย่างง่ายๆ โดยที่ย้อนกลับมาเริ่มที่ตัวเราก่อนเป็นคนแรก ฝึกฝนตนเองทั้งกายวาจาให้สะอาดบริสุทธิ์ พัฒนาจิตใจให้ดี และขยายไปสู่คนรอบข้างเองแบบธรรมชาติ ขยายไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ดังนั้น วันมาฆบูชาจึงถือเป็นวันแห่งการแผ่ขยายความรักและความปรารถนาที่เราไปสู่มหาชน เพื่อสร้างสันติสุข และสันติภาพโลกให้เกิดขึ้นในที่สุด
ขอความร่วมมือทุกท่านได้แต่งกายสุภาพเพื่อร่วมพิธีกรรมกัน
พิธีจุดมาฆประทีป
ณ พระมหาธรรมกายเจดีย์ วัดพระธรรมกาย
กำหนดการ
18:00 น. ประธานสงฆ์เดินทางมาถึงศูนย์กลางพิธี / จุดไฟฤกษ์ / สวดมนต์ / นั่งสมาธิ
18.30 น. ผู้แทนเจ้าภาพ จุดเทียน ธูป / ประธานสงฆ์กล่าวคำบูชามาฆฤกษ์
18.40 น. ประธานสงฆ์จุดประทีปส่งต่อให้ผู้แทนอุบาสก / อธิษฐานโคมมาฆประทีป / จุดประทีปพร้อมกันทั่วโลก / นั่งสมาธิ
19:20 น. เวียนประทักษิณรอบพระมหาธรรมกายเจดีย์ / อธิษฐานจิต แผ่เมตตา
20:10 น. เสร็จพิธี